Tense
Tense คือรูปแบบ(หรือโครงสร้าง)ของกริยา ที่แสดงให้เราทราบว่า การกระทำหรือเหตุการนั้นๆเกิดขึ้นเมื่อใด ซึ่งเรื่อง tense นี้เป็นเรื่องสำคัญถ้าเราใช้ tense ไม่ถูกเราก็จะสื่อภาษากับเขาไม่ได้ เพราะในประโยคภาษาอังกฤษนั้นจะอยู่ในรูปของ tense เสมอ ซึ่งต่างกับภาษาไทยที่เราจะมีข้อความบอกว่าาเกิดขึ้นเมื่อใดมาช่วยเสมอ แต่ภาษาอังกฤษจะใช้รูป tense นี้มาเป็นตัวบอก ดังนี้การศึกษาเรื่อง tense จึงเป็นเรื่องจำเป็น.
Tense ในภาษาอังกฤษนี้จะแบ่ง ออกเป็น 3 tense ใหญ่ๆคือ
1.Present tense ปัจจุบัน
2.Past tense อดีตกาล
3.Future tense อนาคตกาล
ในแต่ละ tense ยังแยกย่อยได้ tense ละ 4 คือ
1. Simple tense ธรรมดา(ง่ายๆตรงๆไม่ซับซ้อน).
2. Continuous tense กำลังกระทำอยู่(กำลังเกิดอยู่)
3. Perfect tense สมบูรณ์(ทำเรียบร้อยแล้ว).
4. Perfect continuous tense สมบูรณ์กำลังกระทำ(ทำเรียบร้อยแล้วและกำลัง ดำเนินอยู่ด้วย).
โครงสร้างของ Tense ทั้ง 12 มีดังนี้
[1.1] S + Verb1 + ……(บอกความจริงที่เกิดขึ้นง่ายๆ ตรงๆไม่ซับซ้อน).
[1.2] S + is, am, are + Verb1 ing + …(บอกว่าเดี๋ยวนี้กำลังเกิดอะไร อยู่).
[1.3] S + has, have + Verb3 + ….(บอกว่าได้ทำมาแล้วจนถึง ปัจจุบัน).
[1.4] S + has, have + been + Verb1 ing + …(บอกว่าได้ทำมาแล้วและกำลังทำ ต่อไปอีก).
[2.1] S + Verb2 + …..(บอกเรื่องที่เคยเกิดมาแล้วใน อดีต).
[2.2] S + was, were + Ver1 +…(บอกเรื่องที่กำลังทำอยู่ในอดีต).
[2.3] S + had + verb3 + …(บอกเรื่อที่ทำมาแล้วในอดีตใน ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).
[2.4] S + had + been + verb1 ing + …(บอกเรื่องที่ทำมาแล้วอย่างต่อ เนื่องไม่หยุด).
[3.1] S + will, shall + verb1 +….(บอก เรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต).
[3.2] S + will, shall + be + Verb1 ing + ….(บอกว่าอนาคตนั้นๆกำลังทำอะไร อยู่).
[3.3] S + will,s hall + have + Verb3 +…(บอกเรื่องที่จะเกิดหรือสำเร็จ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).
[3.4] S + will,shall + have + been + verb1 ing +.. ..(บอกเรื่องที่จะทำอย่างต่อเนื่องในเวลาใด - เวลาหนึ่งในอนาคตและ จะทำต่อไปเรื่อยข้างหน้า).
หลักการใช้แต่ละ tense มีดังนี้
1.Present Tense
[1.1] Present simple tense เช่น He walks. เขาเดิน,
1.ใช้กับ เหตุการที่เกิดขึ้นตามความจริงของธรรมชาติ และคำสุภาษิตคำ พังเพย.
2.ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นความจริงในขณะที่พูด (ก่อนหรือหลังจะไม่จริงก็ตาม).
3.ใช้กับกริยาที่ทำนานไม่ได้ เช่น รัก, เข้าใจ, รู้ เป็นต้น.
4.ใช้กับการกระทำที่คิดว่าจะเกหิดขึ้นในอนาคตอันใกล้(จะมีคำวิเศษณ์บอกอนาคตร่วมด้วย).
5.ใช้ในการเล่าสรุปเรื่องต่างๆในอดีต เช่นนิยาย นิทาน.
6.ใช้ในประโยคเงื่อนไขในอนาคต ที่ต้นประโยคจะขึ้นต้น ด้วยคำว่า If (ถ้า), unless (เว้นเสียแต่ว่า), as soon as (เมื่อ,ขณะที่), till (จนกระทั่ง), whenever (เมื่อไรก็ ตาม), while (ขณะที่) เป็นต้น.
7.ใช้กับเรื่องที่กระทำอย่างสม่ำเสมอ และมีคำวิเศษณ์บอกเวลาที่สม่ำเสมอร่วมอยู่ด้วย เช่น always (เสมอๆ) often (บ่อยๆ), every day (ทุกๆวัน) เป็นต้น.
8.ใช้ในประโยคที่คล้อยตามที่เป็นประโยคตามต้องใช้ด้วยเสมอ.
[1.2] Present continuous tense เช่น He is walking. เขากำลังเดิน.
1.ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในขณะที่พูด(ใช้ now ร่วมด้วยก็ได้ โดยใส่ไว้ต้น ประโยค, หลังกริยา หรือสุดประโยคก็ ได้).
2.ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในระยะเวลาอันยาวนาน เช่น ในวันนี้ ,ในปีนี้ .
3.ใช้กับเหตุการณ์ที่ผู้พูดมั่นใจว่าจะต้องเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ เช่น เร็วๆนี้, พรุ่งนี้.
*หมายเหตุ กริยาที่ทำนานไม่ได้ เช่น รัก, เข้าใจ, รู้, ชอบ จะนำมาแต่งใน Tense นี้ไม่ได้.
[1.3] Present perfect tense เช่น He has walk เขาได้เดินแล้ว.
1.ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต และต่อเนื่องมาจนถึง ปัจจุบัน และจะมีคำว่า Since (ตั้งแต่) และ for (เป็นเวลา) มาใช้ร่วมด้วยเสมอ.
2.ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้เคยทำมาแล้วในอดีต (จะกี่ครั้งก็ได้ หรือจะทำอีกใน ปัจจุบัน หรือจะทำในอนาคต ก็ได้)และจะมีคำว่า ever(เคย), never (ไม่เคย) มาใช้ร่วมด้วย.
3ใช้กับเหตุการณ์ที่จบลงแล้วแต่ผู้พูดยังประทับใจอยู่ (ถ้าไม่ประทับใจก็ใช้ Tense
4.ใช้กับ เหตุการที่เพิ่งจบไปแล้วไม่นาน(ไม่ได้ประทับใจอยู่) ซึ่งจะมีคำเหล่านี้มาใช้ร่วมด้วยเสมอ คือ Just (เพิ่งจะ), already (เรียบร้อยแล้ว), yet (ยัง), finally (ในที่สุด) เป็นต้น.
[1.4] Present perfect continuous tense เช่น He has been walking . เขาได้กำลังเดินแล้ว.
* มีหลักการใช้เหมือน [หัวข้อ 1.3] ทุกประการ เพียงแต่ว่าเน้นว่าจะทำต่อไปในอนาคตด้วยซึ่ง [หัวข้อ 1.3] นั้นไม่เน้นว่าได้กระทำอย่างต่อเนื่องหรือไม่ ส่วน [หัวข้อ 1.4] นี้เน้นว่ากระทำมาอย่างต่อเนื่องและจะกระทำต่อไปในอนาคตอีกด้วย.
2.Past Tense
[2.1] Past simple tense เช่น He walked. เขาเดิน แล้ว.
1.ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงแล้วในอดีต มิได้ต่อเนื่องมาถึงขณะที่พูดและมักมีคำต่อไปนี้มาร่วมด้วยเสมอในประโยค เช่น Yesterday, year เป็นต้น.
2.ใช้กับเหตุการณ์ที่ทำเป็นประจำในอดีตที่ผ่านมาในครั้งนั้นๆ ซึ่งต้องมีคำวิเศษณ์บอกความถี่ (เช่น Always,every day) กับคำวิเศษณ์บอกเวลา (เช่น yesterday, last month ) 2 อย่างมาร่วมอยู่ด้วยเสมอ.
3.ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต แต่ปัจจุบันไม่ได้เกิด อยู่ หรือไม่ได้เป็นดั่งในอดีตนั้นแล้ว ซึ่งจะมีคำว่า ago นี้ร่วมอยู่ด้วย.
4.ใช้ในประโยคที่คล้อยตามที่เป็น [หัวข้อ 2.1] ประโยคคล้อยตามก็ต้อง เป็น [หัวข้อ 2.1] ด้วย.
[2.2] Past continuous tense เช่น He was walking . เขากำลังเดินแล้ว
1.ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน [หัวข้อ 2.2 นี้ไม่นิยมใช้ตามลำพัง - ถ้าเกิดก่อนใช้ หัวข้อ 2.2 - ถ้าเกิดทีหลังใช้ หัวข้อ 2.1].
2.ใช้กับเหตุการณ์ที่ ไดกระทำติดต่อกันตลอดเวลาที่ได้ระบุไว้ในประโยค ซึ่งจะมีคำบอกเวลาร่วมอยู่ด้วยในประโยค เช่น all day yesterday etc.
3.ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่กำลังทำในเวลาเดียวกัน(ใช้เฉพาะกริยาที่ทำได้นานเท่านั้น หากเป็นกริยาที่ทำนานไม่ได้ก็ใช้หลักข้อ 1 ) ถ้าแต่งด้วย 2.1 กับ 2.2 จะดูจืดชืดเช่น He was cleaning the house while I was cooking breakfast.
[2.3] Past perfect tense เช่น He had walk. เขาได้เดินแล้ว.
1.ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีต มีหลักการใช้ดังนี้.
เกิดก่อนใช้ 2.3 เกิดทีหลังใช้ 2.1.
2.ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำอันเดียวก็ได้ในอดีต แต่ต้องระบุชั่วโมงและวันให้แน่ชัดไว้ในทุกประโยคด้วยทุกครั้ง เช่น She had breakfast at eight o’ clock yesterday.
[2.4] past perfect continuous tense เช่น He had been walking.
มีหลักการใช้เหมือนกับ หัวข้อ 2.3 ทุกกรณี เพียงแต่ tense นี้ต้องการย้ำถึงความต่อเนื่องของการกระทำที่ 1 ว่าได้กระทำต่อเนื่องไปจนถึงการกระทำที่ 2 โดยมิได้หยุด เช่น When we arrive at the meeting , the lecturer had been speaking for an hour. เมื่อพวกเราไปถึงที่ ประชุม ผู้บรรยายได้พูดมาแล้ว เป็นเวลา 1 ชั่วโมง.
3. Future Tense
[3.1] Future simple tense เช่น He will walk. เขาจะเดิน.
ใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจะมีคำว่า tomorrow, to night, next week, next month เป็นต้น มาร่วมอยู่ด้วย.
* Shall ใช้กับ I we.
Will ใช้กับบุรุษที่ 2 และนามทั่วๆไป.
Will, shall จะใช้สลับกันในกรณีที่จะให้คำมั่นสัญญา,ข่มขู่บังคับ, ตกลงใจแน่วแน่
Will, shall ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือจงใจก็ได้.
Be going to (จะ) ใช้กับความจงใจของมนุษย์เท่านั้นห้ามใช้กับเหตุการณ์ของธรรมชาติและนิยมใช้ใน ประโยคเงื่อนไข.
[3.2] Future continuous tense เช่น He will be walking. เขากำลังจะเดิน.
1.ใช้ในการบอกกล่าวว่าในอนาคตนั้นกำลังทำอะไรอยู่ (ต้องกำหนดเวลาแน่นอน ด้วยเสมอ).
2.ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต มีกลักการใช้ดังนี้.
- เกิดก่อนใช้ 3.2 S + will be, shall be + Verb1 ing.
- เกิดทีหลังใช้ 1.1 S + Verb1 .
[3.3] Future prefect tens เช่น He will walked. เขาจะได้เดินแล้ว.
1.ใช้กับเหตุการณ์ที่จะ เกิดขึ้นหรือสำเร็จลงในเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต โดยจะมีคำว่า by นำหน้ากลุ่มคำที่บอกเวลาด้วย เช่น by tomorrow , by next week เป็น ต้น.
2.ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต มีหลักดังนี้.
- เกิดก่อนใช้ 3.3 S + will, shall + have + Verb3.
- เกิด ที่หลังใช้ 1.1 S + Verb1 .
[3.4] Future prefect continuous tense เช่น He will have been walking. เขาจะได้กำลัง เดินแล้ว.
ใช้เหมือน [หัวข้อ 3.3] ต่างกันเพียงแต่ว่า [หัวข้อ 3.4] นี้เน้นถึงการกระทำที่ 1 ได้ทำต่อเนื่องมาจนถึงการกระทำที่ 2 และจะกระทำต่อไปในอนาคต อีกด้วย.
* Tense นี้ไม่ค่อยนิยมใช้บ่อยนัก โดยเฉพาะกริยาที่ทำนานไม่ได้อย่านำมาแต่งใน Tense นี้เด็ดขาด.
อ้างอิง : http://xn-12cl9ca5a0ai1ad0bea0clb11a0e.com/%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87-tense-12-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B9%81%E0%B8%9B%E0%B8%A5/
Tense ในภาษาอังกฤษนี้จะแบ่ง ออกเป็น 3 tense ใหญ่ๆคือ
1.Present tense ปัจจุบัน
2.Past tense อดีตกาล
3.Future tense อนาคตกาล
ในแต่ละ tense ยังแยกย่อยได้ tense ละ 4 คือ
1. Simple tense ธรรมดา(ง่ายๆตรงๆไม่ซับซ้อน).
2. Continuous tense กำลังกระทำอยู่(กำลังเกิดอยู่)
3. Perfect tense สมบูรณ์(ทำเรียบร้อยแล้ว).
4. Perfect continuous tense สมบูรณ์กำลังกระทำ(ทำเรียบร้อยแล้วและกำลัง ดำเนินอยู่ด้วย).
โครงสร้างของ Tense ทั้ง 12 มีดังนี้
Present Tense
[1.1] S + Verb1 + ……(บอกความจริงที่เกิดขึ้นง่ายๆ ตรงๆไม่ซับซ้อน).
[1.2] S + is, am, are + Verb1 ing + …(บอกว่าเดี๋ยวนี้กำลังเกิดอะไร อยู่).
[1.3] S + has, have + Verb3 + ….(บอกว่าได้ทำมาแล้วจนถึง ปัจจุบัน).
[1.4] S + has, have + been + Verb1 ing + …(บอกว่าได้ทำมาแล้วและกำลังทำ ต่อไปอีก).
Past Tense
[2.1] S + Verb2 + …..(บอกเรื่องที่เคยเกิดมาแล้วใน อดีต).
[2.2] S + was, were + Ver1 +…(บอกเรื่องที่กำลังทำอยู่ในอดีต).
[2.3] S + had + verb3 + …(บอกเรื่อที่ทำมาแล้วในอดีตใน ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).
[2.4] S + had + been + verb1 ing + …(บอกเรื่องที่ทำมาแล้วอย่างต่อ เนื่องไม่หยุด).
Future Tense
[3.1] S + will, shall + verb1 +….(บอก เรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต).
[3.2] S + will, shall + be + Verb1 ing + ….(บอกว่าอนาคตนั้นๆกำลังทำอะไร อยู่).
[3.3] S + will,s hall + have + Verb3 +…(บอกเรื่องที่จะเกิดหรือสำเร็จ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).
[3.4] S + will,shall + have + been + verb1 ing +.. ..(บอกเรื่องที่จะทำอย่างต่อเนื่องในเวลาใด - เวลาหนึ่งในอนาคตและ จะทำต่อไปเรื่อยข้างหน้า).
หลักการใช้แต่ละ tense มีดังนี้
หลักการใช้แต่ละ tense มีดังนี้
1.Present Tense
[1.1] Present simple tense เช่น He walks. เขาเดิน,
1.ใช้กับ เหตุการที่เกิดขึ้นตามความจริงของธรรมชาติ และคำสุภาษิตคำ พังเพย.
2.ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นความจริงในขณะที่พูด (ก่อนหรือหลังจะไม่จริงก็ตาม).
3.ใช้กับกริยาที่ทำนานไม่ได้ เช่น รัก, เข้าใจ, รู้ เป็นต้น.
4.ใช้กับการกระทำที่คิดว่าจะเกหิดขึ้นในอนาคตอันใกล้(จะมีคำวิเศษณ์บอกอนาคตร่วมด้วย).
5.ใช้ในการเล่าสรุปเรื่องต่างๆในอดีต เช่นนิยาย นิทาน.
6.ใช้ในประโยคเงื่อนไขในอนาคต ที่ต้นประโยคจะขึ้นต้น ด้วยคำว่า If (ถ้า), unless (เว้นเสียแต่ว่า), as soon as (เมื่อ,ขณะที่), till (จนกระทั่ง), whenever (เมื่อไรก็ ตาม), while (ขณะที่) เป็นต้น.
7.ใช้กับเรื่องที่กระทำอย่างสม่ำเสมอ และมีคำวิเศษณ์บอกเวลาที่สม่ำเสมอร่วมอยู่ด้วย เช่น always (เสมอๆ) often (บ่อยๆ), every day (ทุกๆวัน) เป็นต้น.
8.ใช้ในประโยคที่คล้อยตามที่เป็นประโยคตามต้องใช้ด้วยเสมอ.
[1.2] Present continuous tense เช่น He is walking. เขากำลังเดิน.
1.ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในขณะที่พูด(ใช้ now ร่วมด้วยก็ได้ โดยใส่ไว้ต้น ประโยค, หลังกริยา หรือสุดประโยคก็ ได้).
2.ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในระยะเวลาอันยาวนาน เช่น ในวันนี้ ,ในปีนี้ .
3.ใช้กับเหตุการณ์ที่ผู้พูดมั่นใจว่าจะต้องเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ เช่น เร็วๆนี้, พรุ่งนี้.
*หมายเหตุ กริยาที่ทำนานไม่ได้ เช่น รัก, เข้าใจ, รู้, ชอบ จะนำมาแต่งใน Tense นี้ไม่ได้.
[1.3] Present perfect tense เช่น He has walk เขาได้เดินแล้ว.
1.ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต และต่อเนื่องมาจนถึง ปัจจุบัน และจะมีคำว่า Since (ตั้งแต่) และ for (เป็นเวลา) มาใช้ร่วมด้วยเสมอ.
2.ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้เคยทำมาแล้วในอดีต (จะกี่ครั้งก็ได้ หรือจะทำอีกใน ปัจจุบัน หรือจะทำในอนาคต ก็ได้)และจะมีคำว่า ever(เคย), never (ไม่เคย) มาใช้ร่วมด้วย.
3ใช้กับเหตุการณ์ที่จบลงแล้วแต่ผู้พูดยังประทับใจอยู่ (ถ้าไม่ประทับใจก็ใช้ Tense
4.ใช้กับ เหตุการที่เพิ่งจบไปแล้วไม่นาน(ไม่ได้ประทับใจอยู่) ซึ่งจะมีคำเหล่านี้มาใช้ร่วมด้วยเสมอ คือ Just (เพิ่งจะ), already (เรียบร้อยแล้ว), yet (ยัง), finally (ในที่สุด) เป็นต้น.
[1.4] Present perfect continuous tense เช่น He has been walking . เขาได้กำลังเดินแล้ว.
* มีหลักการใช้เหมือน [หัวข้อ 1.3] ทุกประการ เพียงแต่ว่าเน้นว่าจะทำต่อไปในอนาคตด้วยซึ่ง [หัวข้อ 1.3] นั้นไม่เน้นว่าได้กระทำอย่างต่อเนื่องหรือไม่ ส่วน [หัวข้อ 1.4] นี้เน้นว่ากระทำมาอย่างต่อเนื่องและจะกระทำต่อไปในอนาคตอีกด้วย.
2.Past Tense
[2.1] Past simple tense เช่น He walked. เขาเดิน แล้ว.
1.ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงแล้วในอดีต มิได้ต่อเนื่องมาถึงขณะที่พูดและมักมีคำต่อไปนี้มาร่วมด้วยเสมอในประโยค เช่น Yesterday, year เป็นต้น.
2.ใช้กับเหตุการณ์ที่ทำเป็นประจำในอดีตที่ผ่านมาในครั้งนั้นๆ ซึ่งต้องมีคำวิเศษณ์บอกความถี่ (เช่น Always,every day) กับคำวิเศษณ์บอกเวลา (เช่น yesterday, last month ) 2 อย่างมาร่วมอยู่ด้วยเสมอ.
3.ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต แต่ปัจจุบันไม่ได้เกิด อยู่ หรือไม่ได้เป็นดั่งในอดีตนั้นแล้ว ซึ่งจะมีคำว่า ago นี้ร่วมอยู่ด้วย.
4.ใช้ในประโยคที่คล้อยตามที่เป็น [หัวข้อ 2.1] ประโยคคล้อยตามก็ต้อง เป็น [หัวข้อ 2.1] ด้วย.
[2.2] Past continuous tense เช่น He was walking . เขากำลังเดินแล้ว
1.ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน [หัวข้อ 2.2 นี้ไม่นิยมใช้ตามลำพัง - ถ้าเกิดก่อนใช้ หัวข้อ 2.2 - ถ้าเกิดทีหลังใช้ หัวข้อ 2.1].
2.ใช้กับเหตุการณ์ที่ ไดกระทำติดต่อกันตลอดเวลาที่ได้ระบุไว้ในประโยค ซึ่งจะมีคำบอกเวลาร่วมอยู่ด้วยในประโยค เช่น all day yesterday etc.
3.ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่กำลังทำในเวลาเดียวกัน(ใช้เฉพาะกริยาที่ทำได้นานเท่านั้น หากเป็นกริยาที่ทำนานไม่ได้ก็ใช้หลักข้อ 1 ) ถ้าแต่งด้วย 2.1 กับ 2.2 จะดูจืดชืดเช่น He was cleaning the house while I was cooking breakfast.
[2.3] Past perfect tense เช่น He had walk. เขาได้เดินแล้ว.
1.ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีต มีหลักการใช้ดังนี้.
เกิดก่อนใช้ 2.3 เกิดทีหลังใช้ 2.1.
2.ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำอันเดียวก็ได้ในอดีต แต่ต้องระบุชั่วโมงและวันให้แน่ชัดไว้ในทุกประโยคด้วยทุกครั้ง เช่น She had breakfast at eight o’ clock yesterday.
[2.4] past perfect continuous tense เช่น He had been walking.
มีหลักการใช้เหมือนกับ หัวข้อ 2.3 ทุกกรณี เพียงแต่ tense นี้ต้องการย้ำถึงความต่อเนื่องของการกระทำที่ 1 ว่าได้กระทำต่อเนื่องไปจนถึงการกระทำที่ 2 โดยมิได้หยุด เช่น When we arrive at the meeting , the lecturer had been speaking for an hour. เมื่อพวกเราไปถึงที่ ประชุม ผู้บรรยายได้พูดมาแล้ว เป็นเวลา 1 ชั่วโมง.
3. Future Tense
[3.1] Future simple tense เช่น He will walk. เขาจะเดิน.
ใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจะมีคำว่า tomorrow, to night, next week, next month เป็นต้น มาร่วมอยู่ด้วย.
* Shall ใช้กับ I we.
Will ใช้กับบุรุษที่ 2 และนามทั่วๆไป.
Will, shall จะใช้สลับกันในกรณีที่จะให้คำมั่นสัญญา,ข่มขู่บังคับ, ตกลงใจแน่วแน่
Will, shall ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือจงใจก็ได้.
Be going to (จะ) ใช้กับความจงใจของมนุษย์เท่านั้นห้ามใช้กับเหตุการณ์ของธรรมชาติและนิยมใช้ใน ประโยคเงื่อนไข.
[3.2] Future continuous tense เช่น He will be walking. เขากำลังจะเดิน.
1.ใช้ในการบอกกล่าวว่าในอนาคตนั้นกำลังทำอะไรอยู่ (ต้องกำหนดเวลาแน่นอน ด้วยเสมอ).
2.ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต มีกลักการใช้ดังนี้.
- เกิดก่อนใช้ 3.2 S + will be, shall be + Verb1 ing.
- เกิดทีหลังใช้ 1.1 S + Verb1 .
[3.3] Future prefect tens เช่น He will walked. เขาจะได้เดินแล้ว.
1.ใช้กับเหตุการณ์ที่จะ เกิดขึ้นหรือสำเร็จลงในเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต โดยจะมีคำว่า by นำหน้ากลุ่มคำที่บอกเวลาด้วย เช่น by tomorrow , by next week เป็น ต้น.
2.ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต มีหลักดังนี้.
- เกิดก่อนใช้ 3.3 S + will, shall + have + Verb3.
- เกิด ที่หลังใช้ 1.1 S + Verb1 .
[3.4] Future prefect continuous tense เช่น He will have been walking. เขาจะได้กำลัง เดินแล้ว.
ใช้เหมือน [หัวข้อ 3.3] ต่างกันเพียงแต่ว่า [หัวข้อ 3.4] นี้เน้นถึงการกระทำที่ 1 ได้ทำต่อเนื่องมาจนถึงการกระทำที่ 2 และจะกระทำต่อไปในอนาคต อีกด้วย.
* Tense นี้ไม่ค่อยนิยมใช้บ่อยนัก โดยเฉพาะกริยาที่ทำนานไม่ได้อย่านำมาแต่งใน Tense นี้เด็ดขาด.
อ้างอิง : http://xn-12cl9ca5a0ai1ad0bea0clb11a0e.com/%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87-tense-12-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B9%81%E0%B8%9B%E0%B8%A5/
เก่งอ่ะ
ตอบลบว่าไปเรื่อย ใครๆก็ทำได้
ลบสุดยอด ฝุดๆ
ตอบลบ^_^
ลบเก่งจังคับ^^
ตอบลบเยี่ยมมากค่ะ ^^"
ตอบลบอิอิอิ
ลบ^(oo)^
ตอบลบ??
ลบgood
ตอบลบเก่งๆ
ตอบลบสวดยอด ^^
ตอบลบไม่ขนาดนั้น
ลบเยี่ยม สวยมาก :)
ตอบลบอิอิอิ ^:)^
ลบเนื้อหาแน่นมากเลย G+1
ตอบลบไม่ขนาดนั้น เนื้อหายังไม่กว้างพอ
ลบว๊ายๆๆได้รับความรู้ไปเต็มๆเลย
ตอบลบขอบคุณที่เยี่ยมชมบล็อคนะ
ลบเยี่ยมค่ะเยี่ยมม ^.<
ตอบลบขอบคุณค่ะ
ลบให้ไปเลย 2 ไลค์ สุดยอดฝุดๆ
ตอบลบให้ไปเลย 3 ไลค์ สำหรับคนแสดงความคิดเห็น
ลบเนื้อหา ok ค่ะ
ตอบลบจ้าๆๆ แล้วจะปรับปรุงเนื้อหาให้ดีกว่านี้อีกนะ
ลบเป๊ะเว่อร์ ค่ะ.
ตอบลบไม่ขนาดนั้นหรอก
ลบเนื้อหาดี มากๆๆๆๆ เลย
ตอบลบ:)
ลบเนื้อหา ดีมาก
ตอบลบการ์ตูนนน่ารักดีๆเนื้อแม่งเยี่ยม
ตอบลบแล้วจะอัพการ์ตูนใส่เยอะๆนะ
ลบสวยดีเนาะว่างๆๆ สอนด้วยล่ะ
ตอบลบเยี่ยมจริงๆๆๆ
ตอบลบเยื่ยมๆ
ตอบลบเรียนรู้ได้เยอะเลย
ตอบลบความรู้เพียบ
ตอบลบมีประโยชน์มากเลย
ตอบลบเยี่ยม จริง จริง ๆๆๆ ได้สาระ ความรู้ ครบถ้วน
ตอบลบเจ๋งดีนะ
ตอบลบเจ๋งๆ
ตอบลบเนื้อหาเยอะ ข้อมูลครบ รูปแบบการจัดวางสวยดี
ตอบลบไม่เป๊ะขนาดนั้นๆๆๆๆๆ
ลบบล็อคสวยดีนะคับ.
ตอบลบขอบคุณค่ะ
ลบเจ๋งๆ :D
ตอบลบมันยอดมากเลย ซาร่า
ตอบลบเวอร์ไปๆ
ลบเนื้อหาครบ,เป๊ะ หน้าบล็อกสวยยย ยอดเยี่ยมพะยะค่ะ
ตอบลบขอบคุณค่ะ ยังต้องปรับปรุงอยู่เยอะ
ลบเยี่ยมเจ้าสาว ☺
ตอบลบWOW สวยงามมากครับ
ตอบลบ